Thai Society of Clinical Pathology
สมาคมพยาธิวิทยาคลินิกไทย (สพคท.)
ข้อบังคับของ
สมาคมพยาธิวิทยาคลินิกไทย
หมวดที่ 1
ความทั่วไป
ข้อที่ 1
สมาคมนี้มีชื่อว่า สมาคมพยาธิวิทยาคลินิกไทยย่อว่า สพคท. เรียกเป็นภาษาอังกฤษ Thai Society of Clinical Pathology ย่อว่า TSCP
เครื่องหมายของสมาคมมีลักษณะเป็นรูปเลขหนึ่งไทย ซึ่งแสดงถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของพยาธิวิทยาคลินิกไทย แถบ 5 แถบ เป็นสี แดง ขาว น้ำเงิน ขาว แดง ตามด้วยคำเต็มภาษาอังกฤษ ขนาดเล็ก มีชื่อย่อภาษาไทยของสมาคม สพคท. ตัวโต เข้ม เด่น อยู่ภายใน
ข้อที่ 2
ข้อที่ 3
สำนักงานของสมาคมตั้งอยู่ ณ ตึกอดุลยเดชวิกรม ชั้น 10 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เลขที่ 2 ถนนวังหลัง แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 10700
วัตถุประสงค์ของสมาคม เพื่อ
4.1 สนับสนุน ส่งเสริมการศึกษา วิจัย อบรม และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับ
วิชาการด้านพยาธิวิทยาคลินิก โดยเป็นศูนย์กลางประสานงาน ระหว่าง สมาชิก และ
องค์กรต่าง ๆ ทั้งภายในประเทศไทย และต่างประเทศ
4.2 ส่งเสริมและสนับสนุนงานด้านพยาธิวิทยาคลินิกให้สอดคล้องกับมาตรฐานระดับ
ประเทศและระดับนานาชาติ
4.3 พัฒนาระบบบริการด้านพยาธิวิทยาคลินิก ให้มีคุณภาพเป็นที่เชื่อถือ และตอบสนอง
ต่อปัญหาด้านสุขภาพ
4.4 สนับสนุนและร่วมมือในการสร้างระบบประกันและรับรองคุณภาพบริการด้านพยาธิ
วิทยาคลินิก
4.5 ส่งเสริมความเป็นเอกภาพของสมาชิก และผู้ปฏิบัติงานด้านพยาธิวิทยาคลินิก
4.6 สร้างสรรค์ ส่งเสริมสามัคคีธรรม จริยธรรม และศิลปวัฒนธรรม ของประเทศไทย
โดยไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม ใด ๆ ที่เป็นเรื่องทางการเมืองทั้งทางตรงและทางอ้อม
ข้อที่ 4
หมวดที่ 2
สมาชิก
ข้อที่ 5
สมาชิกของสมาคมมี 3 ประเภท คือ
5.1 สมาชิกสามัญ ได้แก่ แพทย์ที่ได้รับวุฒิบัตรหรือหนังสืออนุมัติบัตรแสดงความรู้ความ
ชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาพยาธิวิทยาคลินิก หรือ เวชศาสตร์
บริการโลหิต หรือแพทย์ที่จบการศึกษาระดับปริญญาเอกหรือเทียบเท่าที่ปฏิบัติงาน
ในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์
5.2 สมาชิกวิสามัญ ได้แก่ แพทย์ที่อยู่นอกเหนือจากที่ระบุในข้อ 5.1 หรือบุคคลที่ได้รับ
ปริญญาทางวิทยาศาสตร์ หรือบุคคลอื่นที่ปฏิบัติงานหรือสนใจทางพยาธิวิทยา
คลินิกที่คณะกรรมการเห็นสมควร
5.3 สมาชิกกิตติมศักดิ์ ได้แก่ บุคคลผู้ทรงเกียรติหรือทรงคุณวุฒิ หรือผู้มีอุปการคุณแก่
สมาคม ซึ่งคณะกรรมการลงมติให้เชิญเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม
สมาชิกจะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
6.1 เป็นผู้บรรลุนิติภาวะ
6.2 เป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อย
6.3 ไม่เป็นโรคที่สังคมรังเกียจ
6.4 ไม่ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้เป็นบุคคลล้มละลายหรือไร้ความสามารถหรือ
เสมือนไร้ความสามารถ หรือต้องโทษจำคุก ยกเว้นความผิดฐานประมาท หรือลหุโทษ
การต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดในกรณีดังกล่าวจะต้องเป็นในขณะที่สมัครเข้า
เป็นสมาชิก หรือในระหว่างที่เป็นสมาชิกของสมาคมเท่านั้น
ข้อที่ 6
ข้อที่ 7
ค่าลงทะเบียน และค่าบำรุงสมาคม
7.1 สมาชิกสามัญ ค่าบำรุงตลอดชีพ 1,000.- บาท
7.2 สมาชิกวิสามัญ ค่าบำรุงตลอดชี พ 1,000.- บาท
7.3 สมาชิกกิตติมศักดิ์ มิต้องเสียค่าลงทะเบียนและค่าบำรุงสมาคมสมาชิกแต่อย่างใดทั้งสิ้น
การสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม ให้ผู้ประสงค์จะสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมยื่นใบสมัครตามแบบของสมาคม และให้ชำระค่าบำรุงทั้งหมด กรณีกรรมการมีมติไม่รับ ให้คืนค่าสมัครสมาชิก
ข้อที่ 8
ข้อที่ 9
การเข้าเป็นสมาชิก ให้เลขาธิการหรือกรรมการผู้ทำหน้าที่แทนเลขาธิการ นำใบสมัคร เสนอต่อคณะกรรมการ เมื่อคณะกรรมการมีมติให้รับหรือไม่รับผู้ใดเข้าเป็นสมาชิก ให้เลขาธิการ มีหนังสือแจ้งให้ผู้นั้นทราบ ภายในเจ็ดวัน นับแต่วันลงมติ
สมาชิกภาพของสมาชิกกิตติมศักดิ์ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่หนังสือตอบรับคำเชิญของผู้ที่คณะกรรมการได้พิจารณาลงมติให้เชิญเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม ได้มาถึงสมาคม
ข้อที่ 10
ข้อที่ 11
สมาชิกภาพของสมาชิกให้สิ้นสุดลงด้วยเหตุต่อไปนี้
11.1 ตาย
11.2 ลาออก โดยยื่นหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรต่อคณะกรรมการ และคณะกรรมการได้
พิจารณาอนุมัติและสมาชิกผู้นั้นได้ชำระหนี้สินที่ยังติดค้างอยู่กับสมาคมเป็นที่เรียบร้อย
11.3 ขาดคุณสมบัติสมาชิก
11.4 คณะกรรมการลงมติให้ลบชื่อออกจากทะเบียนสมาชิก โดยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสาม
ในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด ด้วยเหตุหนึ่งเหตุใดดังต่อไปนี้
11.4.1. กระทำการใด ๆ ที่ทำให้สมาคมเสื่อมเสียชื่อเสียงโดยเจตนา
11.4.2. กระทำการละเมิดข้อบังคับโดยเจตนา
สิทธิและหน้าที่ของสมาชิก
12.1 มีสิทธิเข้าใช้สถานที่ของสมาคมโดยเท่าเทียมกัน
12.2 มีสิทธิเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการของสมาคมต่อคณะกรรมการ
12.3 มีสิทธิได้รับสวัสดิการต่าง ๆ ที่สมาคมได้จัดให้มีขึ้น ได้แก่
- ได้รับส่วนลดในการลงทะเบียนเข้าร่วมประชุมวิชาการประจำปีที่ สพคท.จัดขึ้น
- ได้รับส่วนลดในการสั่งซื้อหนังสือที่ สพคท. จัดพิมพ์
- ได้รับข่าวสารหรือบทความวิชาการจาก สพคท.
- สามารถร่วมแสดงความคิดเห็นใน social media ของ สพคท. ได้
12.4 มีสิทธิเข้าร่วมประชุมใหญ่ของสมาคม
12.5 สมาชิกสามัญมีสิทธิในการเลือกตั้งหรือได้รับการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งเป็นคณะ
กรรมการ สมาคมและมีสิทธิออกเสียงลงมติต่างๆ ในที่ประชุมได้คนละ 1 คะแนนเสียง
12.6 มีสิทธิร้องขอต่อคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบเอกสารและบัญชีทรัพย์สินของสมาคม
12.7 มีสิทธิเข้าชื่อร่วมกันอย่างน้อย 1 ใน 5 ของสมาชิกทั้งหมด ทำหนังสือร้องขอต่อคณะ
กรรมการให้จัดประชุมใหญ่วิสามัญได้
12.8 มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติ และข้อบังคับของสมาคมโดยเคร่งครัด
12.9 มีหน้าที่ประพฤติตนให้สมกับเกียรติที่เป็นสมาชิกของสมาคม
12.10 มีหน้าที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของสมาคม
12.11 มีหน้าที่ร่วมกิจกรรมที่สมาคมได้จัดให้มีขึ้น
12.12 มีหน้าที่ช่วยเผยแพร่ชื่อเสียงของสมาคมให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
ข้อที่ 12
หมวดที่ 3
การดำเนินกิจการสมาคม
ข้อที่ 13
ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง ทำหน้าที่บริหารกิจการของสมาคม มีจำนวนอย่างน้อย 9 คน อย่างมากไม่เกิน 15 คนโดยสมาชิกสามัญของสมาคมเป็นผู้เสนอชื่อสมาชิกสามัญผู้สมควรเป็นกรรมการ จำนวน 9 คน เลขาธิการสมาคมจะเป็นผู้รวบรวมคะแนนผู้ที่ได้รับคะแนนจากการเลือกตั้งโดยเรียงลำดับตามความถี่ และให้ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมการพิจารณาเลือกนายกสมาคม 1 คนและอุปนายก 1 คน จากกรรมการที่ได้รับการเลือกตั้ง คณะกรรมการสามารถแต่งตั้งกรรมการเพิ่มเติมจากสมาชิกของสมาคมรวมทั้งสิ้นกรรมการทั้งหมดมีไม่เกิน 15 คน จากนั้นให้คณะกรรมการทั้งหมดพิจารณาแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ของสมาคม ตามที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งตำแหน่งของกรรมการสมาคมมีตำแหน่งและหน้าที่โดยสังเขปดังต่อไปนี้
13.1 นายกสมาคม : ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าในการบริหารกิจการของสมาคมคณะ
กรรมการของสมาคมเป็นผู้แทนสมาคมในการติดต่อกับบุคคล
ภายนอกและทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมคณะกรรมการ และ
การประชุมใหญ่ของสมาคม
13.2 อุปนายก : ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนายกสมาคมในการบริหารกิจการสมาคม
ปฏิบัติตามทำหน้าที่ที่นายกสมาคมได้มอบหมายและทำหน้าที่แทน นายกสมาคมเมื่อนายกสมาคมไม่อยู่ หรือไม่สามารถจะปฏิบัติหน้าที่
ได้
13.3 เลขาธิการ : ทำหน้าที่เกี่ยวกับงานธุรการของสมาคมทั้งหมดเป็นหัวหน้าเจ้า
หน้าที่ของสมาคมในการปฏิบัติกิจการของสมาคมและปฏิบัติตาม
คำสั่งของนายกสมาคมตลอดจนทำหน้าที่เป็นเลขานุการในการ
ประชุมต่าง ๆ ของสมาคม
13.4 เหรัญญิก : มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินทั้งหมดของสมาคม เป็นผู้จัดทำบัญชี
รายรับรายจ่าย บัญชีงบดุลของสมาคมและเก็บเอกสารหลักฐาน
ต่าง ๆ ของสมาคมไว้เพื่อตรวจสอบ
13.5 ปฏิคม : มีหน้าที่ในการให้การต้อนรับแขกของสมาคม เป็นหัวหน้าในการ
จัดเตรียมสถานที่ของสมาคมและจัดเตรียมสถานที่ประชุมต่าง ๆ
ของสมาคม
13.6 นายทะเบียน : มีหน้าที่เกี่ยวกับทะเบียนสมาชิกทั้งหมดของสมาคม ประสานงาน
กับเหรัญญิก ในการเรียกเก็บเงินค่าบำรุงสมาคมจากสมาชิก
13.7 ประชาสัมพันธ์ : มีหน้าที่เผยแพร่กิจการและชื่อเสียงเกียรติคุณของสมาคมให้
สมาชิกและบุคคลโดยทั่วไปให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย
13.8 วิชาการ : มีหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริมวิชาการต่าง ๆ
13.9 กรรมการตำแหน่งอื่น ๆ : ตามความเหมาะสม ซึ่งคณะกรรมการเห็นสมควรกำหนด
ให้มีขึ้นโดยมีจำนวนเมื่อรวมกับตำแหน่งกรรมการตามข้างต้นแล้ว
จะ ต้องไม่เกิน 15 คน แต่ถ้าคณะกรรมการมิได้กำหนดตำแหน่งก็
ถือว่าเป็นกรรมการกลาง มีหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริมวิชาการ
ต่าง ๆ คณะกรรมการชุดแรก ให้ผู้เริ่มการจัดตั้งสมาคมเป็นผู้เลือก
ตั้ง ประกอบด้วยนายกสมาคมและกรรมการอื่น ๆ ตามจำนวนที่เห็น
สมควรตามข้อบังคับของสมาคม
คณะกรรมการของสมาคมสามารถอยู่ในตำแหน่งได้คราวละ 2 ปี และเมื่อคณะกรรมการอยู่ในตำแหน่งคร บกำหนดวาระแล้ว แต่คณะกรรมการชุดใหม่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจากทางราชการ ก็ให้คณะกรรมการที่ครบกำหนดตามวาระรักษาการไปพลางก่อน จนกว่าคณะกรรมการชุดใหม่จะได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจากทางราชการ และเมื่อคณะกรรมการชุดใหม่ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจากทางราชการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ให้ทำการส่งและรับมอบงานกันระหว่างคณะกรรมการชุดเก่าและคณะกรรมการชุดใหม่ให้เป็นที่เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการชุดใหม่ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจากทางราชการ
ข้อที่ 14
ข้อที่ 15
ตำแหน่งกรรมการสมาคม ถ้าต้องว่างลงก่อนครบกำหนดตามวาระก็ให้คณะกรรมการแต่งตั้งสมาชิกสามัญคนใดคนหนึ่งที่เห็นสมควรเข้าดำรงตำแหน่งแทนตำแหน่งที่ว่างลงนั้น แต่ผู้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งได้เท่ากับวาระของผู้ที่ตนแทนเท่านั้น
กรรมการอาจจะพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งมิใช่เป็นการออกตามวาระด้วยเหตุผลต่อไปนี้ คือ
16.1 ตาย
16.2 ลาออก
16.3 ขาดจากสมาชิกภาพ
16.4 ที่ประชุมใหญ่ลงมติให้ออกจากตำแหน่ง
ข้อที่ 16
ข้อที่ 17
กรรมการที่ประสงค์จะลาออกจากตำแหน่งกรรมการให้ยื่นในลาออกเป็นลายลักษณ์อักษรต่อคณะกรรมการและให้พ้นจากตำแหน่งเมื่อคณะกรรมการมีมติให้ออก
อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ
18.1 มีอำนาจออกระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อให้สมาชิกได้ปฏิบัติ โดยระเบียบปฏิบัตินั้น จะ
ต้องไม่ขัดต่อข้อบังคับฉบับนี้
18.2 มีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนเจ้าหน้าที่ของสมาคม
18.3 มีอำนาจแต่งตั้งกรรมการที่ปรึกษา หรืออนุกรรมการได้ แต่กรรมการที่ปรึกษาหรือ
อนุกรรมการจะสามารถอยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกินวาระของคณะกรรมการที่แต่งตั้ง
18.4 มีอำนาจเรียกประชุมใหญ่สามัญประจำปี และประชุมใหญ่วิสามัญ
18.5 มีอำนาจแต่งตั้งกรรมการในตำแหน่งอื่น ๆ ที่ยังมิได้กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้
18.6 มีอำนาจบริหารกิจการของสมาคม เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตลอดจนมีอำนาจ
อื่น ๆ ตามที่ข้อบังคับได้กำหนดไว้
18.7 มีหน้าที่รับผิดชอบในกิจการทั้งหมด รวมทั้งการเงินและทรัพย์สินทั้งหมดของสมาคม
18.8 มีหน้าที่จัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญ ตามที่สมาชิกจำนวน 1 ใน 5 ของสมาชิกทั้งหมด
ได้เข้าชื่อร้องขอให้จัดประชุมใหญ่วิสามัญขึ้น ซึ่งการนี้จะต้องจัดให้มีการประชุมใหญ่
วิสามัญขึ้นภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือร้องขอ
18.9 มีหน้าที่จัดทำเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ทั้งที่เกี่ยวกับการเงิน ทรัพย์สินและการดำเนิน
กิจกรรมต่าง ๆ ของสมาคมให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ และสามารถให้สมาชิกตรวจดู
ได้เมื่อสมาชิกร้องขอ
18.10 จัดทำบันทึกการประชุมต่าง ๆ ของสมาคม เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานและจัดส่งให้สมาชิก
ได้รับทราบ
18.11 มีหน้าที่อื่น ๆ ตามที่ข้อบังคับบัญชาได้กำหนดไว้
ข้อที่ 18
ข้อที่ 19
คณะกรรมการจะต้องประชุมกันอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ทั้งนี้เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับการบริหารกิจการของสมาคม
การประชุมคณะกรรมการ จะต้องมีกรรมการเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมด จึงถือว่าครบองค์ประชุม มติของที่ ประชุมคณะกรรมการ ถ้าข้อบังคับมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ก็ให้ถือคะแนนเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ แต่ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันก็ให้ประธานในการประชุมเป็นผู้ชี้ขาด
ข้อที่ 20
ข้อที่ 21
ในการประชุมคณะกรรมการ ถ้านายกสมาคมและอุปนายกไม่อยู่ในที่ประชุม หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็ให้กรรมการที่เข้าประชุมในคราวนั้นเลือกตั้งกันเอง เพื่อให้กรรมการคนใดคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมคราวนั้น
หมวดที่ 4
การประชุมใหญ่
การประชุมใหญ่ของสมาคมมี 2 ประเภท คือ
22.1 ประชุมใหญ่สามัญ
22.2 ประชุมใหญ่วิสามัญ
ข้อที่ 22
ข้อที่ 23
คณะกรรมการจะต้องจัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ๆ ละ 1 ครั้ง ภายในเดือน เมษายน ของทุก ๆ ปี
การประชุมใหญ่วิสามัญ อาจจะมีขึ้นได้ก็โดยเหตุที่คณะกรรมการเห็นควรจัดให้มีขึ้น หรือเกิดขึ้นด้วยการเข้าชื่อร่วมกันของสมาชิกไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของสมาชิกสามัญทั้งหมด ทำหนังสือร้องขอต่อคณะกรรมการให้จัดให้มีขึ้น
ข้อที่ 24
ข้อที่ 25
การแจ้งกำหนดนัดประชุมใหญ่ให้เลขาธิการเป็นผู้แจ้งกำหนดนัดประชุมใหญ่ให้สมาชิกได้ทราบและการแจ้งจะต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร โดยระบุวัน เวลา และสถานที่ให้ชัดเจน โดยจะต้องแจ้ งให้สมาชิกได้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน และประกาศแจ้งกำหนดนัดประชุมไว้ ณ สำนักงานของสมาคมเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 7 วัน ก่อนถึงกำหนดการประชุมใหญ่
การประชุมใหญ่สามัญประจำปี จะต้องมีวาระการประชุมอย่างน้อยดังต่อไปนี้
26.1 แถลงกิจการที่ผ่านมาในรอบปี
26.2 แถลงบัญชีรายรับ รายจ่าย และบัญชีงบดุลของปีที่ผ่านมาให้สมาชิกรับ
ทราบ
26.3 เลือกตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ เมื่อครบกำหนดวาระ
26.4 เลือกตั้งผู้สอบบัญชี
26.7 เรื่องอื่น ๆ ถ้ามี
ข้อที่ 26
ข้อที่ 27
ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี หรือการประชุมใหญ่วิสามัญจะต้องมีสมาชิกสามัญหรือสมาชิกวิสามัญเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่า 20 คน จึงถือว่าครบองค์ประชุม แต่ถ้าเมื่อถึงกำหนดเวลาประชุมยังมีสมาชิกสามัญและสมาชิกวิสามัญเข้าร่วมประชุมไม่ครบองค์ประชุม ให้คณะกรรมการของสมาคมเรียกประชุมใหญ่อีกครั้งหนึ่ง โดยจัดให้มีการประชุมขึ้นภายใน 14 วัน นับแต่วันที่นัดประชุมครั้งแรก สำหรับการประชุมในครั้งหลังนี้ ถ้ามีสมาชิกสามัญและสมาชิกวิสามัญเข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนเท่าใด ก็ถือว่าครบองค์ประชุม ยกเว้นถ้าเป็นการประชุมใหญ่วิสามัญที่เกิดขึ้นจากการร้องขอของสมาชิก ก็ไม่ต้องจัดประชุมใหญ่ ให้ถือว่าการประชุมเป็นอันยกเลิก
การลงมติต่าง ๆ ในที่ประชุมใหญ่ ถ้าข้อบังคับมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ก็ให้ถือคะแนนเสีย งข้างมากเป็นเกณฑ์ แต่ถ้าคะแนนเสียงที่ลงมติมีคะแนนเสียงเท่ากัน ก็ให้ประธานในการประชุมเป็นผู้ชี้ขาด
ข้อที่ 28
ข้อที่ 29
ในการประชุมใหญ่ของสมาคม ถ้านายกสมาคม แ ละอุปนายกสมาคมไม่มาร่วมประชุมหรือไม่สามารถจะปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็ให้ที่ประชุมใหญ่ทำการเลือกตั้งกรรมการที่มาร่วมประชุมคนใดคนหนึ่ง ให้ทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมคราวนั้น
หมวดที่ 5
การเงินและทรัพย์สิน
การเงินและทรัพย์สินทั้งหมดให้อยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการ เงินสดของสมาคมถ้ามีให้นำฝากไว้ธนาคาร ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาศิริราช
ข้อที่ 30
ข้อที่ 31
การลงนามในตั๋วเงินหรือเช็คของสมาคม จะต้องมีลายมือชื่อของนายกสมาคม หรืออุปนายกสมาคมลงนามร่วมกับเหรัญญิก หรือเลขาธิการ พร้อมกับประทับตราของสมาคมจึงจะถือว่าใช้ได้
ให้นายกสมาคมมีอำนาจสั่งจ่ายเงินของสมาคมได้ครั้งละไม่เกิน 5,000.- บาท (ห้าพันบาทถ้วน) ถ้าเกินกว่านั้นจะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการและคณะกรรมการจะอนุมัติให้จ่ายเงินได้ครั้งละไม่เกิน 50,000.- บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน) ถ้าจำเป็นจะต้องจ่าย เกินกว่านี้ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมของสมาคม
ข้อที่ 32
ข้อที่ 33
ให้เหรัญญิก มีอำนาจเก็บรักษาเงินสดของสมาคมได้ไม่เกิน 2,000.- บาท (สองพันบาทถ้วน) ถ้าเกินกว่าจำนว นนี้ จะต้องนำฝากธนาคารในบัญชีของสมาคมทันทีที่โอกาสอำนวยให้
เหรัญญิก จะต้องทำบัญชีรายรับ รายจ่าย และบัญชีงบดุล ให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ การรับหรือจ่ายเงินทุกครั้ง จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อของนายกสมาคมหรืออุปนายกสมาคมร่วมกับเหรัญญิกหรือเลขาธิการ พร้อมกับประทับตราของสมาคมทุกครั้ง
ข้อที่ 34
ข้อที่ 35
ผู้สอบบัญชี จะต้องมิใช่กรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคม และจะต้องเป็นผู้สอบบัญชีที่ได้รับอนุญาต
ผู้สอบบัญชีมีอำนาจหน้าที่จะเรียกเอกสารที่เกี่ยวกับการเงินและทรัพย์สินจากคณะกรรมการและสามารถจะเชิญกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคมเพื่อสอบถามเกี่ยวกับบัญชีและทรัพย์สินของสมาคมได้
ข้อที่ 36
ข้อที่ 37
คณะกรรมการจะต้องให้ความร่วมมือกับผู้สอบบัญชี เมื่อได้รับการร้องขอ
หมวดที่ 6
การเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับและการเลิกสมาคม
การแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบังคับ จะทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่สามัญ โดยมติ 2 ใน 3 ของสมาชิกสามัญที่เข้าร่วมประชุม และจะใช้บังคับได้ต่อเมื่อได้จดทะเบียนแล้ว
ข้อที่ 38
ข้อที่ 39
การเลิกสมาคมจะเลิกได้ก็โดยมติของที่ประชุมใหญ่ของสมาคม ยกเว้นเป็นการเลิกเพราะเหตุของกฎหมาย มติของที่ประชุมใหญ่ที่ให้เลิกสมาคมจะต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของสมาชิกสามัญที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมด และองค์ประชุมใหญ่จะต้องไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกสามัญทั้งหมด
เมื่อสมาคมต้องเลิก ไ ม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม ทรัพย์สินของสมาคมที่เหลืออยู่หลังจากที่ได้ชำระบัญชีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้ตกเป็นของ ศิริราชมูลนิธิ, มูลนิธิรามาธิบดี, มูลนิธิแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ (ผู้รับต้องมีฐานะเป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์เพื่อการกุศลสาธารณประโยชน์
ข้อที่ 40
หมวดที่ 7
บทเฉพาะกาล
ข้อที่ 41
ข้อบังคับฉบับนี้นั้น ให้เริ่มใช้บังคับได้นับตั้งแต่วันที่สมาคมได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเป็นต้นไป
เมื่อสมาคมได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจากทางราชการ ก็ให้ถือว่าผู้เริ่มการทั้งหมดเป็นสมาชิกสามัญ